กระทู้คำถาม ตามคำถามกระทู้เลยคะ อยากทราบว่า marketing director เป็นงานเกี่ยวกับอะไร และมีหน้าที่อะไรบ้างคะ หากทราบเงินเดือน ต่ำสุดและสูงสุดอยูที่เท่าไหร่ จะดีมากเลยคะ ^^ ขอบคุณคะ แก้ไขข้อความเมื่อ 0 แสดงความคิดเห็น คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
Math VS Art การขาย คือ คณิตศาสตร์ หลักการจะตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างเช่น 2 + 2 = 4 ซึ่งไม่ว่าเราหรือคุณครูจะมีความคิดเห็นอย่างไร หลักการณ์มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ การตลาด เปรียบได้กับศิลปะ ซึ่งเมื่อผู้คนพบเห็นแล้วรู้สึกประทับใจใน Content ที่ได้รับชมมา ก็จะเกิดการบอกต่อ ยกตัวอย่างสมัยเรียนในกิจกรรมที่มีการแสดงละครเวที แล้วเรารู้สึกหัวเราะ สนุกสนาน เรากลับบ้านไป ก็เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ที่บ้านฟังว่า วันนี้ละครเวทีที่เพื่อน ๆ แสดงนั้นสนุกมากเลย สังเกตว่า การขาย ไม่มีอารมณ์มาร่วม เป็นหลักเหตุและผล และไม่เกิดการแชร์หรือบอกต่อ แต่ในขณะที่ การตลาด เป็นการดึงให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมแล้วเกิดการบอกต่อ 3. Flirting VS Attraction หากเปรียบเทียบกับการจีบสาว การขายจะเป็นลักษณะประมาณว่า เมื่อคุณเข้าไปหาสาวในคลับแล้วพูดว่า "สวัสดีครับคุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าผมขออนุญาตเลี้ยงเครื่องดื่มสักแก้วจะได้ไหมครับ" แต่ในขณะที่การตลาด คือ การทำให้ตัวเราเองน่าดึงดูดน่าหลงใหล เพื่อให้คนเข้ามาหาเรา ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่โพสต์เรื่องเกี่ยวกับ การใส่ใจสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การกินอาหารคลีน, แสดงออกถึงการให้เกียรติผู้หญิง ซึ่งเมื่อใคร ๆ ต่างเห็นผู้ชายคนนี้แล้ว ก็เริ่มตกหลุมรัก และเริ่มติดตามเขาในที่สุด 4.
ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด แม้ว่าจะเป็นคนละส่วนคนละแผนกกัน แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความสำคัญต่อธุรกิจไม่แพ้กัน เพียงแต่แต่ละฝ่ายนั้น มีจุดโฟกัสที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อองค์กร และนี่ก็คือ ความแตกต่างระหว่างการขายและการตลาดที่คุณต้องรู้ 1.
Converting VS Generating การขายจะโฟกัสไปที่การ Convert หรืออัตราการเปลี่ยนให้เป็นลูกค้า ในขณะที่การตลาดคือการดึงผู้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมาให้ได้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดร้านขายรองเท้ากีฬา สิ่งที่นักการตลาดทำก็คือ การนำพาผู้คนที่ชอบออกกำลังกาย เข้าร้านให้ได้มากที่สุด ในขณะที่นักขายนั้น มีหน้าที่เปลี่ยนผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมที่ร้านให้ซื้อสินค้าให้ได้มากที่สุด 7. People VS Product นักขาย สิ่งแรกที่ต้องขายให้ได้ก่อนก็คือ ขายตัวเองให้ก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงการขายตัวเองเพื่อให้ผู้คนเกิดความเชื่อมั่นในตัวของนักขายซะก่อน แล้วหลังจากนั้นนักขายก็จะเริ่มอธิบายถึงสินค้าหรือบริการของบริษัทว่าจะช่วยลูกค้าอย่างไรได้บ้าง ในขณะที่นักการตลาด จะโฟกัสไปที่สินค้าก่อน เช่น การประกาศว่า สินค้าหรือบริการของบริษัทนั้น จะสามารถช่วยเหลือลูกค้าอย่างไรได้บ้าง จะเปลี่ยนชีวิตของลูกค้าให้ดีขึ้นได้ยังไงบ้าง ซึ่งมันถูกต้องและสำคัญทั้งคู่ เพียงแต่จัดลำดับความสำคัญแตกต่างกัน 8.
สิ่งที่ตามมาจากการขาย ก็คือ การตลาด เราให้ความสำคัญกับการสร้าง Brand เพื่อทำการตลาดอย่างยั่งยืน ท่ามกลางการแข่งขันด้านราคา การตลาดจะช่วยให้ธุรกิจมีจุดยืน และสามารถทำกำไรได้ดีกว่าธุรกิจทั่วไป Marketing Management คือการบริหารงานการตลาด อย่างเป็นระบบ การสร้าง Brand เพื่อสร้างความแตกต่าง และมีจุดขาย ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การวางแผนการตลาดให้สอดคล้องกับ Branding การทำการวิเคราะห์การตลาดเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยการทำการตลาดแบบ 360 องศา ใช้แผนการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์
Technology Threat = เทคโนโลยีใหม่ที่นำใช้มีราคาแพง Task Environment เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกอีกตัว ที่ใช้ 5 Force Modelมาเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ ยกตัวอย่าง COKE เหมือนเดิม 1. คู่แข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน คู่แข่งของ Coke อย่าง Pepsi ยังมีเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า และมีส่วนครองตลาดที่ต่ำกว่า Coke และ Coke มีส่วนครองตลาดมากที่สุด 2. การเข้ามาของผู้เข้าแข่งขันรายใหม่ อุตสาหกรรมน้ำอัดลมมีการใช้ต้นทุนในการทำการตลาดสูง และใช้เวลาในการคืนทุนนาน เป็นอุปสรรคสำหรับรายใหม่ที่จะเข้ามาแข่งขัน 3. สินค้าทดแทน น้ำดื่มสมุนไพรเป็นสินค้ามดแทนที่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากที่สุดเพราะลูกค้าใส่ใจในสุขภาพเพิ่มขึ้น 4. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีอำนาจในการต่อรองสูง เพราะในตลาดมีสินค้าที่หลกหลาย ทำให้สามารถกดราคาสินค้าของเราได้ให้ต่ำลงได้ 5. อำนาจต่อรองของผู้ขาย ผู้ขายไม่มีอำนาจในการต่อรอง เพราะเราเป็นรายใหญ่ที่มีการสั่งซื้อสูง และในตลาดมี Supplier อยู่มาก 2. STP = Segmentation Targeting และ Positioning คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน โดยความต่างระหว่าง Segment กับ Target ก็คือ Segment จะเป็นการแบ่งส่วนตลาดที่ใหญ่ให้กลายเป็นตลาดย่อยๆ ตามลักษณะเฉพาะที่คล้ายคลึงกัน ส่วน Target จะเป็นการเลือกตลาดย่อยๆ ของ Segment มาเป็นเป้าหมายเพื่อจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และส่วนประสมทางการตลาดได้อย่างเหมาะสม ส่วน Positioning คือการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ของตนว่าอยู่ตรงจุดไหนของตลาด Segmentation = จะต้องดูว่าโจทย์พูดถึงสินค้าอะไรเป็นหลักแล้วเราก็จะสามารถแยกตลาดของสินค้านั้นให้มีความชัดเจนขึ้น โดยมีวิธีการแยกดังนี้ 1.
Demographic Segmentation = เป็นการแยกโดยใช้กลุ่มทางด้านประชากรศาสตร์เป็นหลัก เช่น อายุ เชื้อชาติ ศาสนา เป็นต้น 2. Geographic Segmentation = ใช้หลักถิ่นที่อยู่ ทางภูมิศาสตร์ เช่น ภาคเหนือ ภาคใต้ อาศัยอยู่ในเมือง อยู่ตามชนบท เป็นต้น 3. Behavior Segmentation = ใช้หลักพฤติกรรมเป็นตัวแบ่ง เช่น ซื้อเมื่อไหร่ โอกาสไหนถึงซื้อ ซื้อสม่ำเสมอแค่ไหน เป็นต้น 4. Psychographic Segmentation = ใช้หลักตามจิตทยา หรือการดำรงชีวิต เป็นตัวแบ่ง เช่น คนที่ต้องทานกาแฟทุกเช้า ก็ถือเป็นหลักนี้ Targeting = จะทำก็ต่อเมื่อแบ่ง Segment ได้แล้วก็จะมาจับกลุ่มย่อย ในกลุ่มใหญ่ที่เราเลือกมา โดยใช้วิธีดังนี้ 1. Single –segment concentration = เป็นการเลือกกลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียว ใช้สินค้าตัวเดียว ขายตลาดเดียว (Niche-Market) 2. Product Specialization = สินค้ามีคุณสมบัติที่ขายได้หลายกลุ่ม คือตัวผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายขายได้หลายกลุ่ม 3. Market Specialization = เน้นที่ตลาดคือการแบ่งแบบนี้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่มี Brand Loyalty สูง คือขายตลาดเดียว แต่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อสนองกลุ่มลูกค้า 4.