ข้อมูลนี้ผมเขียนไว้ปี 2552 ตอนเริ่มทำงานเรื่อง CAPACIOTR BANK ส่วนบทต่อไปจะเป็นส่วนปัจจุบันที่ผมจะเริ่มเขียนหลังจากอยู่กับ CAPACITOR มาสี่ปีเต็มๆ
Group Correction คือการติด Capacitor Bank เข้าไปที่โหลดโดยกำหนดโหลดให้เป็นกลุ่ม ซึ่งวิธีนี้ได้ผลเรื่องการปรับค่า Power Factor พอสมควร และสิ้นเปลืองน้อยกว่าวิธีแรก แต่ก็ยังต้องกำหนดค่าของ Capacitor ที่ติดตั้งแต่ในละกลุ่มให้ตายตัวและโหลดทั้งหมดภายในกลุ่มจะต้องทำงานพร้อมกันตลอดเวลา ซึ่งวิธีนี้เหมาะสมกับโหลดที่มีขนาดเท่าๆกันหลายๆตัวมาต่อรวมและทำงานพร้อมกันตลอดเวลา รูป Single line ในการติดตั้งแบบ Group Correction 3. Central Correction คือการติด Bank เข้าไปที่ส่วนต้นของระบบเพื่อควบคุมค่า Power Factor ทั้งระบบ ซึ่งวิธีนี้จะต้องใช้ร่วมกับ Magnetic Contractor สำหรับ Capacitor ( ตามมาตราฐาน Ac-6b), HRC FUSE และ ตัว Power Factor Controller ที่เรารูจักในชื่อย่อว่า PFC เพื่อควบคุมการทำงาน ของCapacitor เพื่อให้ได้ค่า Power Factor ตามที่ต้องการ โดยวิธีนี้จะควบคุมแบเป็นแบบ อัตโนมัติ ซึ่งเป็นวิธีที่เรานิยมใช้กันมากที่สุดในเวลานี้ รูปSingle line ในการติดตั้งแบบ Central 4. Total Correction คือ การนำวิธีทั้งสามมาใช้พร้อมกันตามจุที่เห็นสมควรซึ่งวิธีนี้จะสามารถค่า Power Factor ได้ดีที่สุด แต่ก็สิ้นเปลืองมากพอสมควร Single line ในการติดตั้งแบบ Total Correction ซึ่งวิธีการตั้งที่กล่าวมานี้ ในปัจจุบันที่เราเห็นกันส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Central Correction เนื่องจากว่าเป็นวิธีสะดวกสบายที่สุด และสามารถควบคุม Power Factor ได้ทั้งระบบ เนื่องจากว่าการไฟฟ้าได้กำหนดให้ค่า Power Factor ต้องมากกว่า 0.
อะไหล่ 30/06/2019 Line: @tldalai
ความต้านทานในวงจร จะมีอยู่ 2 ส่วน คือ - ความต้านทานจริง คือ R จะมีมุมเท่ากับ 0 ° - ความต้านทานเชิงซ้อน จะมี 2 ค่า คือ X L จะมีมุมเท่ากับ 9 0 ° และ X C จะมีมุมเท่ากับ -9 0 ° 2. ค่า X L และ X C ให้นำมาหักล้าง (ลบ) กันได้เลย ก็จะเหลือเป็นค่า X ส่วนมุมจะมีค่าเท่ากับค่าที่มากกว่า 3. เมื่อ นำ ค่า X L และ X C มา ลบกันเหลือเป็นค่า X (รีแอคแตนซ์) แล้ว จึงนำมารวมกับค่าความต้านทาน R โดยต้องรวมกันทางแวกเตอร์ ได้เป็นค่า Z (อิมพีแดนซ์) 4. มุมของค่า Z ขึ้นอยู่กับผลรวมของ ค่า X L และ X C - หาก ค่า X L มากกว่า X C มุมจะเป็น บวก - หาก ค่า X L น้อยกว่า X C มุมจะเป็น ลบ หมายเหตุ การหาค่ามุมของอิมพีแดนซ์ โดยใช้โปรแกรม Calculator ในคอมพิวเตอร์ มีวิธีการดังนี้ 1. เปิดโปรแกรม Calculator > view > Scientific ( การเปิดโปรแกรมหากหาไม่เจอ ให้ไปที่ Search และพิมพ์ Calculator และคลิ๊กเลือก โปรแกรมจะปรากฎขึ้นมา) 2. กด 40 - 60 กด = กด / (หาร) กด 30 จะได้คำตอบประมาณ - 0. 67 3. กด Inv 4. กด tan -1 5. จะได้คำตอบออกมาเป็นค่ามุม ของอิมพีแดนซ์ ประมาณ - 34 องศา หรือหาได้จากโปรแกรมเครื่องคิดเลขออนไลน์ ที่นี่ ในวงจรขนาน เราจะหาเป็นค่า แอดมิตแตนซ์ ( Y) หรือค่าความนำรวมของวงจร เมื่อได้ค่า Y แล้วจึงจะกลับมาเเป็นค่า Z Z = 1 / Y 2.
65 โรงงานการได้มีนโยบายในการปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิ์ภาพในการทำงานให้ดีขึ้น โดยต้องการปรับค่า Power Factor จากเดิม เปลี่ยนเป็น 0. 95 ดังนั้นจะต้องติดตั้ง Capacitor Bank เข้าไปเพื่อชดเชยพลังงานขนาดเท่าไร โดยโรงงานใช้ไฟฟ้า ที่หม้อแปลง 1000 KVA วิธีคิด จากสูตร P = S cos f 1 ( ในที่นี้ S = 1, 000 KVA, cos f 1= 0. 65) P = 1, 000 * 0. 65 = 650 KW จากสูตร QC = P (Tan f 1 - Tan f 2) โดย cos f 2 = 0. 95 QC = 650 (1. 17 - 0. 33) = 546 KVAR แสดงว่า เราต้องติด Capacitor Bank เข้าไปในระบบ ขนาด 546 KVAR เพื่อปรับปรุง ค่า Power Factor จากเดิมที่ 0. 65 เป็น 0. 95 ถึงจะได้ค่า Power Factor ใหม่ที่เราต้องการ เมื่อเราสามารถคำนวณหาค่า Capacitor Bank ถึงวิธีการตั้ง Capacitor กันนะครับ การติดตั้ง Capacitor การติดตั้ง Capacitor Bank เพื่อปรับปรุงค่า Power Factor นั้นมีอยู่ 4 รูปแบบหลักๆแต่ละรูปแบบก็มีควาเหมาะสมในการติดตั้งที่แตกต่างกันออกไป 1. Individual Correction คือการติด Capacitor Bank เข้าไปที่โหลดโดยตรง วิธีนี้ได้ผลเรื่องการปรับค่า Power Factor มากที่สุด แต่จะสิ้นเปลืองมากเนื่องจากว่าจะต้องติดเข้าไปที่โหลดแต่ละตัวโดยตรง จะต้องกำหนดค่าของ Capacitor ที่ติดตั้งแต่จุดตายตัวและโหลดห้ามมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานทีโหลดใช้ในแต่ละตัว จึงเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่มีการใช้พลังงานมากๆและทำงานต่อเนื่อง รูป Single line ในการติดตั้งแบบ Individual Correction 2.
คาปาซิเตอร์ หรือ คอนเดนเตอร์ เรียกสั่นว่า แคป แยกเป็น 2 ประเภทหลักๆคือ แคปรัน และ แคปสตาร์ท สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลือกซื้อ คาปาซิเตอร์ คือ ค่าไมโครฟารัด คือ หน่อยของประจุไฟฟ้าที่อยู่ในคาปาซิเตอร์ ควรจะตรงกับคาปาซิเตอร์ตัวเก่ามากที่สุด เช่น อะไหล่ชิ้นเก่าคือ เบอร์ 300uf 250v.